Saturday, February 13, 2016

ศธ.เปิด๔แผนบริหารอาชีวะ

ควบรวมอาชีวะรัฐ-เอกชน วางแผน 4 ระยะขับเคลื่อนงาน "ชัยพฤกษ์" จ่อชง "ดาว์พงษ์" ลงนามประกาศ ศธ.โอนอำนาจ ทรัพย์สิน งบ บุคลากร

13 ก.พ. 59 กรณีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ราชกิจจานุเบกษาประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 8/2559 เรื่องการบริหารจัดการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2547 สั่งการให้โอนอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนในระบบประเภทอาชีวศึกษาไปเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป

ล่าสุด ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เป็นประธานการประชุม โดยมี รศ.ดร.จอมพงศ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สวทอ.) ผู้แทนและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เข้าร่วมประชุมด้วย

ดร.ชัยพฤกษ์ เปิดเผยภายหลังประชุมว่า เนื่องจากคำสั่งหัวหน้า คสช.กำหนดให้มีผลบังคับนับตั้งแต่วันถัดไปที่ประกาศ ซึ่งก็คือวันนี้ (13 ก.พ.) ดังนั้น จึงเชิญทุกฝ่ายมาประชุมร่วมกันเพื่อทำความเข้าใจในแต่ละประเด็นของคำสั่ง และเตรียมแผนการทำงาน โดยเบื้องต้นกำหนดแนวทางดำเนินการเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก คือ ช่วง 2 สัปดาห์ของเดือนกุมภาพันธ์ จะมุ่งให้การเปลี่ยนผ่านเดินไปอย่างราบรื่นไม่สะดุด โดยเฉพาะการถ่ายโอนภารกิจ ทรัพย์สิน งบประมาณ บุคลากร ซึ่ง สอศ.จะเร่งยกร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการโอนกิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณบุคคล เสนอให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ และวันเดียวกันจะทำหนังสือแจ้งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้ว่าราชการจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมอบหมายให้การปฏิบัติภารกิจในการดูแลสถานศึกษาเอกชนเป็นไปตามเดิม ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานราบรื่นไม่สะดุด

ระยะที่สอง เดือนมีนาคม-เมษายน ถือเป็นช่วงสำคัญที่นักเรียน นักศึกษาจะจบการศึกษา จึงต้องระวังไม่กระทำการอะไรที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก ดังนั้นจะเป็นช่วงที่ต้องเร่งบริหารจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยมากที่สุด เพื่อให้เด็กได้เรียนจบตามแผนที่วางไว้ และระยะที่สาม เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่ปีการศึกษาใหม่ จะร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะการรับนักเรียนในปีการศึกษา 2559 โดย สอศ.กำหนดสัดส่วนรับนักเรียนสายอาชีพต่อสายสามัญอยู่ที่ 42 ต่อ 58 โดย 42% ของอาชีวะทั้งอาชีวะรัฐและเอกชนในจังหวัดนั้นจะต้องวางแนวทางส่งต่อเด็กร่วมกัน อย่างไรก็ตาม สอศ.ไม่ใช่จะแย่งเด็กจาก สพฐ. แต่เราพบว่ามีนักเรียน 7% ที่จบ ม.3 แล้วไม่เรียนต่อ แต่เข้าสู่ตลาดแรงงาน สอศ.จะไปจูงใจให้เด็กกลุ่มนี้มาเรียนสายอาชีพมากขึ้น และระยะสุดท้าย ช่วงที่จะต้องจัดทำงบประมาณปี 2560 ก็จะวางแผนการพัฒนาระยะยาวร่วมกันต่อไป

ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า ช่วงแรก สอศ.จะรับโอนข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างของกลุ่มงานโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน สช.มาอยู่ในสังกัด สอศ.ทั้งสิ้น 27 คน ซึ่งจะมอบหมายให้รองเลขาธิการ กอศ.ทำหน้าที่กำกับดูแล โดยยังคงให้ปฏิบัติงานตามภารกิจที่ทำอยู่เช่นเดิมและจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณงานให้มากเพียงพอ เมื่อภาระงานมากขึ้นก็จะเสนอ รมว.ศึกษาธิการจัดตั้งเป็นหน่วยงานระดับสำนักภายใน สอศ. และต่อไปอาจจะมีการยกร่าง พ.ร.บ.อาชีวศึกษาเอกชนด้วย แต่ระหว่างนี้วิทยาลัยอาชีวะเอกชนยังคงดำเนินการตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ไปก่อน

“คำสั่ง คสช.ดังกล่าวถือเป็นประโยชน์อย่างมากที่อาชีวะรัฐและเอกชนจะมาร่วมกันผลิตกำลังคนได้ตอบสนองความต้องการของประเทศ ซึ่งต่อไปทั้งอาชีวะรัฐและเอกชนจะสามารถรวมพลัง เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้วิชาการและการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยืนยันว่า การควบรวมดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนแน่นอน เพราะเรายึดหลักการทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ให้อิสระในการจัดการศึกษา แต่เป้าหมายสำคัญคือ ร่วมขับเคลื่อนการอาชีวศึกษาของประเทศให้มีประสิทธิภาพ โดยเมื่อควบรวมแล้วจะทำให้ สอศ.มีวิทยาลัยอาชีวะอยู่ในกำกับดูแลทั้งสิ้น 886 แห่ง และมีนักเรียนสิ้น 976,615 คน แบ่งเป็นวิทยาลัยอาชีวะรัฐ 425 แห่ง นักศึกษา 674,113 คน และวิทยาลัยอาชีวะเอกชน 461 แห่ง นักศึกษา 302,502 คน” ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าว และว่า ทั้งนี้การรวมอาชีวศึกษารัฐและเอกชนเป็นเพียงการโอนบุคลากร ภารกิจที่อยู่ในกำกับของ สช.มาอยู่ในกำกับของ สอศ. ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน

ด้าน รศ.ดร.จอมพงศ์ กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกยินดีอย่างมากและรอการประกาศชัดเจนมาตลอด เพราะในการประชุม สวทอ.ในเดือนกันยายน 2558 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ที่ต้องการให้เกิดการรวมอาชีวศึกษาเอกชนและอาชีวศึกษาของรัฐเข้าด้วยกัน เพื่อความเป็นเอกภาพของการจัดการศึกษา ทั้งในเรื่องการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน มาตรฐานวิชาการ ซึ่งจะทำให้การผลิตกำลังคนของอาชีวศึกษาไทยสอดคล้องและตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การบริการ ท้องถิ่น กลุ่มคลัสเตอร์ รวมถึงการรวมกลุ่มประชาคมอาเซียนด้วย

“คำสั่งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประเทศและอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาอาชีวะเอกชนมีเตรียมพร้อมวางโครงสร้างอาชีวะเอกชนระดับจังหวัด มีการสร้างความเข้าใจเพื่อเตรียมการรองรับไว้อยู่แล้ว เชื่อว่าจากนี้มาตรฐานหลักสูตรต่างๆ ที่ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ทำให้อาชีวะรัฐและเอกชนรวมตัวกันได้เป็นอาชีวศึกษาของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผมยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ เรายังสามารถบริหารงานจัดการได้อย่างอิสระ มั่นใจว่าไม่มีผลกระทบ หากมีเรื่องที่ต้องการตัดสินใจที่รวดเร็ว เพื่อบริการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพผู้บริหารอาชีวะเอกชนก็ยังคงทำได้ปกติ และเชื่อว่าข้อจำกัดปัญหาเรื่องการประสานงานต่างๆ จะหมดไป” รศ.ดร.จอมพงศ์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559

ขอบคุณแหล่งข้อมูล: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

คำสำคัญ: , คมชัดลึก

No comments:

Post a Comment