Thursday, February 18, 2016

สธ.ลุยเฟซออฟไม่รู้โฆษณาเกินจริง

ตระกูล "ไชยสาส์น" ยัน ดร.เซปิง ไม่ใช่คนในครอบครัว อดีต รมช.สาธารณสุข ขณะที่ สธ.เข้าตรวจ รพ.ศัลยกรรมที่ทำเฟซออฟลูกทุ่งชื่อดัง เจ้าของยันไม่รู้เรื่องโฆษณาเกินจริง

17 ก.พ. 59 เกิดเรื่องวุ่นๆ ขึ้นจนได้เกี่ยวกับ ดร.เซปิง ที่เจ้าตัวเคยอ้างว่าเป็นบุตรสาวของอดีตนักการเมืองชื่อดังและรัฐมนตรีหลายกระทรวง แต่เมื่อตรวจสอบไปกลับได้รับคำยืนยันจากครอบครัวนักการเมืองดังว่า ไม่ได้เป็นญาติกันแต่อย่างใด ส่วนโครงการศัลยกรรมเฟซออฟก็ถูกแฉว่าเป็นเพียงการดึงหน้าร่นอายุให้ดูอ่อนวัยขึ้น และไม่พบรายชื่อดอกเตอร์คนดังอยู่ในสารบบของวงการศัลยกรรมแต่อย่างใด เป็นเหตุให้นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ออกมาแจ้งความหลอกลวงประชาชนนั้น

ล่าสุด นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น อดีต รมช.สาธารณสุข ออกมาชี้แจงกรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง ดร.เซปิง เฟซออฟ (น.ส.สุดารัตน์ ไชยสาส์น) เป็นบุตรสาวของนายประจวบ ไชยสาส์น อดีตนักการเมืองที่เคยเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง ว่า ดร.เซปิงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับครอบครัวไชยสาส์น ไม่ใช่น้องที่ชื่อสุดารัตน์ ข้อมูลที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ เวลานี้ เป็นข้อมูลที่ผิด นามสกุลก็สะกดไม่เหมือนกัน ตรงตำแหน่งตัวการันต์ แต่เรื่องนี้ยังไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือฟ้องร้องใดๆ เพื่อเป็นข่าวมากขึ้น

“ดร.เซปิงที่เป็นข่าวไม่รู้เป็นใคร ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวไชยสาส์น ไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ (ประจวบ ไชยสาส์น)” นายต่อพงษ์ ยืนยันหนักแน่น

อดีต รมช.สาธารณสุข บอกว่า ครอบครัวของตนมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน โดย 4 คนคือพี่น้องจากภรรยาคนที่สอง โดยมีบุตรสาวคนเล็กชื่อสุดารัตน์จริง แต่ไม่ใช่ ดร.เซปิง ซึ่งพี่น้องส่วนใหญ่ทำธุรกิจ และเป็นนักการเมือง ไม่มีใครเป็นหมอ หรือทำธุรกิจเกี่ยวกับความงาม

วันเดียวกัน ที่ สน.สมเด็จเจ้าพระยา พ.ต.อ.หญิงปวีณา เอกฉัตร พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ ชี้แจงกรณีที่สื่อมวลชนเสนอข่าวเกี่ยวกับ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมฯ แจ้งความเรื่องเฟซออฟ ว่า จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับเรื่องเฟซออฟ แต่เป็นการแจ้งความกรณีที่ลูกค้าของ นพ.ชลธิศโทรศัพท์มาสอบถามความสัมพันธ์ระหว่าง นพ.ชลธิศ กับ ดร.เซปิง เพราะ ดร.เซปิง (น.ส.สุดารัตน์ ไชยสาส์น) อ้างว่าเป็นหลานของ นพ.ชลธิศ โดย นพ.ชลธิศ เกรงว่าจะเป็นการแอบอ้าง เพื่อนำไปใช้แสวงประโยชน์สร้างความเชื่อมั่น น่าเชื่อถือ เนื่องจาก นพ.ชลธิศ เป็นนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย

“ที่หมอชลธิศแจ้งความในส่วนของ สน.สมเด็จเจ้าพระยา ที่รับเรื่องไว้นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับนายสุรชัย สมบัติเจริญ นักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่ทำเฟซออฟ ซึ่งตอนนี้ได้สอบปากคำลูกค้าของหมอชลธิศไปเเล้ว 2 ปาก และอยู่ระหว่างการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่ลูกค้าหมอชลธิศคุยรายละเอียดว่าเป็นของใครแล้วจะได้เรียกมาสอบ" พ.ต.อ.หญิงปวีณา ยืนยันหนักแน่น

พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถออกหมายเรียก ดร.เซปิง มาสอบปากคำได้ เนื่องจากเมื่อสืบค้นในทะเบียนราษฎรไม่พบชื่อปรากฏในสารบบ แต่เมื่อใช้ชื่อ สุดารัตน์ ที่ปรากฏตามสื่อ ก็เป็นใบหน้าของผู้หญิงอีกคน ซึ่งไม่ตรงกับใบหน้า ดร.เซปิง ที่มีการเผยแพร่บนโลกโซเชียลเกี่ยวกับการโฆษณาเรื่องความงาม

“ตอนนี้ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เพื่อตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์มือถือของ ดร.เซปิง ที่โพสต์ไว้บนเพจโฆษณาเสริมความงาม ที่ลูกค้าหมอชลธิศคุยกับ ดร.เซปิง ก่อนหน้านี้ หากพบว่าเป็นชื่อของบุคคลใดก็จะเชิญมาสอบสวนต่อไป” พ.ต.อ.หญิงปวีณา กล่าว

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขโดย น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ สบส. และ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภาและคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (บอร์ด สคบ.) ได้เข้าตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ซึ่งเป็นสถานที่ที่ ดร.เซปิง พานายสุรชัย สมบัติเจริญ เข้าผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า โดยใช้ชื่อโครงการเฟซออฟ

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า จากการเข้าตรวจเยี่ยมและได้สอบถามข้อมูลจาก นพ.กมล พันธ์ศรีทุม ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล พบว่าสถานพยาบาลแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลถูกต้องตามกฎหมาย โดยเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการเฉพาะทางในเรื่องการศัลยกรรมตกแต่ง เสริมความงาม ปรับสภาพร่างกายให้ดูดีขึ้นทั้งใบหน้า ผิวหนังและการแปลงเพศ ซึ่งพบว่าดำเนินการได้ตามที่มาตรฐานกำหนด ทั้งนี้ นพ.กมล ค่อนข้างตกใจที่มีการดำเนินการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงแบบนั้น และปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นการเผยแพร่ข้อมูลเกินจริงในดังกล่าว

“นพ.กมล ไม่ได้พูดถึง ดร.เซปิงเลย เหมือนกับจะไม่รู้ ซึ่งผมให้ฝ่ายกฎหมายของ สบส.ตรวจสอบรวบรวมหลักฐานว่า มีบุคลากรคนอื่นของสถานพยาบาลจะรู้เรื่องด้วยหรือไม่ โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะอนุกรรมการโฆษณาของ สบส. ที่มี นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดี สบส.เป็นประธาน เพื่อพิจารณาดำเนินการอย่างไรกับการโฆษณาเกินจริง รวมถึงผู้ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” อธิบดี สบส. กล่าว

สำหรับความผิดหากพบแพทย์หรือสถานพยาบาลมีการเชื่อมโยงหรือมีส่วนได้ส่วนเสีย รู้เห็นเป็นใจกับการโฆษณาของ ดร.เซปิง ก็จะเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2546 เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโฆษณาสถานพยาบาล มีโทษปรับ 2 หมื่นบาท แต่โทษปรับรายวันอีกวันละ 1 หมื่นบาท จนกว่าจะเลิกโฆษณานั้นๆ รวมทั้งหากเกี่ยวเนื่องกับแพทย์ก็จะส่งให้แพทยสภาพิจารณาด้านจริยธรรมในวิชาชีพ ขณะที่สถานพยาบาลก็จะถูกตรวจสอบการพักใช้ใบอนุญาต ไปจนรุนแรงอาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาล

“การออกมาระบุหรือพูดทำนองโฆษณาต้องพิจารณาว่าเป็นแพทย์ และมีการกล่าวอ้างถึงสถานพยาบาลหรือไม่ หากมีกรมก็สามารถดำเนินการได้ทันที ปัญหาคือยังไม่พบ โดยบุคคลที่พูดคือ ดร.เซปิง พบว่าไม่ใช่แพทย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะพ้นผิด การที่โครงการระบุชื่อว่า เฟซออฟ ผ่าแหลก ศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 ดร.เซปิง ผิดชัดเจนตามกฎหมายของ สคบ. ซึ่งมีกฎหมายในมือสามารถดำเนินคดีด้านการโฆษณาเกินจริงได้ ขณะที่การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียก็จะสามารถเอาผิดได้ตามระเบียบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550” น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าว

ทพ.อาคม กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบพยานหลักฐานและหากพบว่าเมื่อรู้แล้วแต่ยังปล่อยให้มีการโฆษณาต่อไป ไม่ได้มีการพยายามหยุดยั้งการโฆษณาดังกล่าวก็ถือว่าเข้าข่ายการยินยอมให้โฆษณา แม้จะมีการอ้างว่าไม่รู้เรื่องก็ตาม ขณะนี้ทั่วประเทศมีสถานความงามขึ้นทะเบียนทั้งหมด 1,458 แห่ง โดยทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ห้ามอวดอ้างและชักชวนให้ผู้บริโภคไปใช้สถานพยาบาล เช่น อ้างสรรพคุณการรักษาดีที่สุด เป็นเลิศ ซึ่งทำไม่ได้

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร ชี้แจงว่า สคบ.ได้หารือและรับเรื่องนี้ให้เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการโฆษณาของ สคบ. โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองประชาชนด้านสุขภาพและความงาม ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สบส. แพทยสภา ทันตแพทยสภา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บก.ปคบ. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นต้น ขึ้นมาทำหน้าที่ดูช่องว่างของกฎหมายและออกข้อบังคับให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นเอเยนซี เพราะที่ผ่านมามีเพียงการห้ามแพทย์และสถานพยาบาลโฆษณาเกินจริงเท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้ง

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559

ขอบคุณแหล่งข้อมูล: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

คำสำคัญ: , คมชัดลึก

No comments:

Post a Comment