ธนาคารกสิกรไทย เปิดแคมป์ “K-Expert Junior : ฝึกรวยนอกห้องเรียน” ให้ความรู้เยาวชนในระดับมัธยมศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดการด้านการเงินส่วนบุคคล และปลูกฝังพฤติกรรมและทัศนคติเชิงบวกในเรื่องการเงินให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างประชากรที่มีคุณภาพ ลดภาระและปัญหาทางสังคม ตลอดจนเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคตได้ วีระพล บดีรัฐ ผู้บริหารงานให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย อธิบายว่า “ในปัจจุบัน คนไทยโดยส่วนมากยังขาดการเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน และความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงินอยู่มาก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย เช่น หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น อัตราการออมของภาคครัวเรือนต่ำ ไปจนกระทั่งเกิดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในการดูแลคนในวัยเกษียณ ซึ่งปัญหาต่างๆ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว จึงได้เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ “K-Expert Junior : ฝึกรวยนอกห้องเรียน” โดยจะเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทางการเงินให้แก่เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการ และทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้และปรับทัศนคติเชิงบวกในด้านการจัดการด้านการเงินส่วนบุคคล เหตุผลที่เลือกเปิดโครงการกับเด็กเยาวชน วัยมัธยม เพราะน้องๆ เหล่านี้หลายคนมีการมาทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร แต่จะเป็นแค่การฝาก ถอนเงิน และทางธนาคารก็ไม่ค่อยมีกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเหล่านี้ ทาง K-Expert อยากให้ความสำคัญกับเด็กกลุ่มนี้ โดยที่ไม่ต้องรอให้โตเป็นผู้ใหญ่ จึงอยากที่จะให้ความรู้ด้านการเงินแก่เด็กๆ มีน้องๆ หลายคนที่เริ่มทำธุรกิจขายของออนไลน์บ้าง เริ่มอยากจะมีการวางแผนทางการเงินที่ดี รวมไปถึงอยากจะมีการซื้อกองทุนบ้างแล้ว สิ่งเหล่านี้เมื่อเขามีพื้นฐานความรู้เรื่องการเงินที่ดี ก็จะช่วยให้คิดและวางแผนเงินออม หรือผลกำไรและสามารถนำไปต่อยอดการเงินในอนาคตได้ เบญญาภา กิตติโสภา หรือน้องแจน อายุ 18 ปี อยู่ในระหว่างรอศึกษาต่อชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) คณะบริหารธุรกิจ (ประธาน K-Expert Junior รุ่นที่ 1) กล่าวว่า หลังจากเข้าร่วมโครงการตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา K-Expert ได้สอนสิ่งที่นอกเหนือจากโรงเรียนสอน คือสอนให้เราใช้ได้ในชีวิตจริงๆ ได้ สอนให้รู้ว่าการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว "โดยส่วนตัวจะได้เงินจากคุณพ่อคุณแม่เป็นรายเดือน จึงทำให้เราจะต้องมีการวางแผนบริการการเงินให้ดี มีการบันทึกรายรับรายจ่าย ถ้าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหมดก็คือหมด จะขอเพิ่มไม่ได้ เลยทำให้เรารู้ว่าถ้าวันนี้เราใช้เงินเยอะ พรุ่งนี้ก็ต้องลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อทำให้มีเงินเหลือพอใช้ถึงสิ้นเดือน รวมไปถึงเรื่องการเงินในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเริ่มต้นการทำธุรกิจ ควรจะเริ่มอย่างไร ไม่ควรจะเป็นหนี้ เพราะการที่เราเป็นหนี้ มันทำให้เรามีโอกาสที่จะเจ๊งได้มากกว่า ควรจะเริ่มต้นด้วยเงินเก็บ ลงทุนไป ได้ปันผลไปควรจะนำเงินไปต่อยอดต่อ จะได้ไม่กระทบเงินต้นเรา” น้องแจน กล่าว ขณะที่ “พรภวิษย์ เจริญพิมลกุล” หรือน้องเจเจมส์ อายุ 17 ปี ศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีพงษ์สวัสดิ์ สาขาการบัญชี กล่าวว่า “K-Expert ได้ให้ความรู้เรื่อง การออม เทคนิคการเก็บเงิน และการลงทุน จากวันแรกที่เข้าร่วมโครงการจนถึงวันนี้ ทำให้เราเริ่มรู้จักออมเงิน จากตอนแรกที่ไม่รู้เลยว่าทำไมจะต้องออมเงิน ออมไปเพื่ออะไร คือทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ปกติได้เงินจากพ่อแม่มาก็ใช้จ่าย กินเที่ยว เล่น หมดเลย ตอนนี้พอได้มาก็จะแบ่งเงินไว้ออมเลยเป็นอันดับแรก คือออมก่อนใช้ ออม 20% ใช้ 80% ทำให้เรามีวินัยทางการเงินมากขึ้น และมีการวางแผนการเงินให้แก่ตัวเองในอนาคตอีกด้วย “วีระพล” กล่าวเสริมว่า ทั้งนี้ โครงการ K-Expert Junior นี้ จะเป็นที่ที่น้องๆ นักเรียน นักศึกษา ได้มารวมตัวกัน ได้เจอคนที่มีความสนใจในเรื่องการเงินเหมือนกัน สามารถและปลี่ยนความรู้ การวางแผนเงินออมในแบบฉบับตนเอง โดยจะมีการให้จดบันทึกรายรับ รายจ่าย ให้ได้รู้การเงินของตัวเอง และมีการแจกการบ้านให้กลับไปทำ หลังจากที่น้องๆ ได้เรียนรู้การวางแผนทางการเงิน ทำให้หลายคนที่ร่วมโครงการกับเรา อยากที่จะเข้ามานั่งฟังเวิร์กช็อปร่วมกับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้น เรื่องกองทุน นั่นทำให้เห็นว่าเด็กๆ มีความสนใจในเรื่องการวางแผนทางการเงินมากยิ่งกว่าเดิม สำหรับโครงการในอนาคตได้คาดหวังไว้ว่า จะมีการจัดปีละ 1 รุ่น โดยจะมีประมาณกลางปีหน้า ช่วงซัมเมอร์ ซึ่งต้องเป็นช่วงที่เด็กปิดเทอม อาจจะมีการเพิ่มรอบ ปกติจะมีแค่ รุ่นเดียว รอบเดียว จะเพิ่มเป็น 2 รุ่น 2 รอบเลย โดยรวมจะเหมือนเดิม แต่สิ่งที่จะเพิ่มเติมจากในรอบนี้ จะมีการเพิ่มกิจกรรมมากขึ้น โดยจะให้เด็กๆ มีการดีไซน์การวางแผนทางการเงิน การใช้จ่ายตอนที่อยู่กับครอบครัว สิ่งที่จะได้นอกจากเด็กจะได้มีความรู้เรื่องการเงินแล้ว ยังช่วยให้พ่อแม่ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนทางการเงิน โดยส่งผ่านจากตัวเด็กส่งตรงไปยังครอบครัว และอาจจะมีการเพิ่มโปรดักท์เข้ามาในกิจกรรม ยกตัวอย่าง อย่าง K-Bank Super junior ที่เป็นโครงการเงินฝากออมทรัพย์ ที่ผู้ฝากจะต้องมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ โดยการมีโปรดักท์เข้ามานั้นจะช่วยให้ได้เรียนรู้จริงๆ ควบคู่กับกิจกรรมที่เราให้ทำ เพื่อฝึกเด็กให้รวยนอกห้องเรียนนั่นเอง
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2558
ขอบคุณแหล่งข้อมูล: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
คำสำคัญ: , คมชัดลึก
No comments:
Post a Comment